คำพยานชีวิต
คุณเนตรนภา อุดมภัณฑ์
ดิฉันได้รับรู้เรื่องราวของพระเจ้าที่ประเทศอเมริกาและได้ประกาศรับเชื่อในปี 2002 ซึ่งการรับเชื่อดังกล่าวเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางศาสนามากกว่าที่จะเข้าใจถึงการดำเนินชีวิตฝ่ายจิตวิญญานที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างแท้จริง โดยดิฉันมีความมุ่งหวังอยู่ที่ความสำเร็จในทางธุรกิจ ชื่อเสียง เกียรติยศ และทรัพย์สินเงินทอง ถึงแม้ดิฉันจะได้ไปโบสถ์เป็นประจำและพยายามปฎิบัติตนตามคำสอนของพระเจ้า แต่ดิฉันก็หามีความสงบสุขในจิตใจไม่ การดำเนินชีวิตของดิฉันอยู่ที่การใช้ความพยายามของตนเองเป็นหลัก ดิฉันไม่เคยรู้สึกเพียงพอกับความสำเร็จที่ตนเองได้รับ ดิฉันมักจะยึดเอาความปรารถนาของตนเองเป็นที่ตั้ง จนก่อให้เกิดความโต้แย้งมากมายในชีวิตสมรส ดิฉันชอบทำตัวเป็นใหญ่ในครอบครัว จนทำให้สามีขาดความมั่นใจและไม่กล้าที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพราะเกรงว่าดิฉันจะไม่พอใจ ดิฉันไม่เคยให้ความสำคัญกับความรู้สึกของสามีเลย ในความบาปและข้อผิดพลาดมากมายที่ดิฉันได้กระทำลงไป ดิฉันกลับมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา และไม่มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงใด ๆ เพราะคิดว่าดิฉันเองก็ดำเนินชีวิตดีอยู่แล้ว
เมื่อดิฉันมีโอกาสเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อดูแลครอบครัวของคุณแม่ที่กรุงเทพฯ ดิฉันได้มีโอกาสพบปะกับเพื่อนคริสเตียน ในช่วงต้นปี 2009 ดิฉันได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ของพันธกิจสตรี เมื่อได้เริ่มต้นศึกษาพระคำของพระเจ้าไม่นาน ดิฉันได้พบว่านี่คือสิ่งที่ดิฉันไม่เคยมีความเข้าใจมาก่อนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงตามแบบอย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย สิ่งที่อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นเมื่อดิฉันเริ่มมองเห็นความบาปในชีวิตของตนเองในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการไม่ให้เกียรติการเป็นผู้นำของสามี ไม่มีเวลาสำหรับลูก และการไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ของแม่บ้านเลยพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงท่าทีของดิฉันและทรงช่วยให้รู้จักการยอมฟังสามีอย่างนอบน้อม จากเดิมที่ไม่เคยใส่ใจในการทำอาหารและดูแลบ้านเรือน ปัจจุบันนี้ดิฉันได้กระทำในสิ่งนี้และมีความสุขกับการที่ได้ปรนนิบัติสามี และการใช้เวลาดูแลสั่งสอนลูกในทางของพระเจ้า และสำคัญอย่างยิ่งคือความปิติยินดีและสันติสุขของพระเจ้าได้เกิดขึ้นในดวงใจของดิฉันอย่างแท้จริง นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของดิฉัน เป้าหมายการดำเนินชีวิตของดิฉันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่หัวใจของดิฉันปรารถนาเป็นที่สุดคือการดำเนินชีวิตเพื่อเกียรติยศของพระเจ้าในทุกวิถีทาง
คุณอรัญญพร จตุพรพันธ์
ดิฉันเป็นคริสเตียนมาได้ เก้าปีแล้ว และเคยคิดมาก่อนว่าตนเองเป็นคริสเตียนที่ดีแล้ว แต่หลังจากการได้เรียนพระวจนะของพระเจ้าจากอาจารย์ชนัดดา ในวิชา “น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสตรี” ดิฉันจึงได้รู้ว่าตนเองมีความบกพร่องอย่างมากมายในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำหน้าที่ของการเป็นภรรยา และในหน้าที่ของการแม่เป็นที่เลี้ยงดูลูก เมื่อมีความเข้าใจในพระคำของพระองค์อย่างถ่องแท้แล้ว ดิฉันจึงได้อธิษฐานทูลขอกำลังจากพระเจ้า เพราะโดยลำพังตัวดิฉันเองนั้นย่อมไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ เนื่องจากว่าสิ่งที่เคยปฏิบัติมาก่อนหน้านี้กลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
พระเจ้าทรงพระกรุณาต่อดิฉันมากเลย พระองค์ทรงช่วยดิฉันและนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในหลายๆ ด้านจนสามีของดิฉันรู้สึกแปลกใจ หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันได้เห็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้าภายในครอบครัวอย่างอัศจรรย์ เมื่อก่อนนั้นสามีของดิฉันไม่เคยตื่นขึ้นตอนเช้าเพื่อเฝ้าเดี่ยวเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาคือเขากลับเป็นฝ่ายเชิญชวนดิฉันให้ตื่นแต่เช้าเพื่อเฝ้าเดี่ยวด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ
ดิฉันขอบคุณพระเจ้าในการทรงนำของพระองค์ เพราะชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของสามีได้มีการเจริญเติบโตขึ้นอย่างมาก
จากการเฝ้าเดี่ยวด้วยกันกับสามีและการอธิษฐานเผื่อลูกๆทุกวัน จึงทำให้พฤติกรรมที่ก้าวร้าว และความเกเรของลูกๆได้ลดลง ความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ดิฉันและสามีได้เรียนรู้ที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุและผล ดิฉันสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้นในการสั่งสอนและในการตีสอนลูกๆ ดิฉันขอหนุนใจสตรีทุกท่านว่าพระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของเรา ขอให้เรานำเอาพระคำของพระเจ้ามาเป็นโคมส่องเท้ากันเถอะค่ะ
คุณมณี ศรีสถิตย์
ดิฉันถือกำเนิดในครอบครัวที่เป็นคริสเตียน เมื่อดิฉันอายุ 17 ปีก็ได้เข้ารับการฝึกอบรมในโรงเรียนพระคัมภีร์เป็นเวลาสองปี และช่วงนั้นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของดิฉันเมื่อมีความเข้าใจเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ฝ่ายจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ดิฉันได้สมรสกับชายที่เป็นคริสเตียนและมีลูกด้วยกันสองคน ในช่วงที่ลูกๆ กำลังอยู่ในวัยแห่งการเจริญเติบโต สามีของดิฉันได้ถูกอิทธิพลของโลกธุรกิจครอบงำชีวิต จนทำเขาให้ห่างเหินไปจากทางของพระเจ้าและเพิกเฉยต่อความรับผิดชอบในครอบครัว ความไม่เข้าใจกันและความขัดแย้งกันได้เกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสอง ดิฉันได้พยายามที่จะผลักดันให้สามีเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าและเป็นผู้นำทางฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเขาไม่สนใจใยดีในการดำเนินชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า เมื่อสภาพเศรษฐกิจภายในครอบครัวย่ำแย่ลง ดิฉันก็ต้องทำงานหนักและกลับกลายเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวเกือบจะทั้งหมด ดิฉันรู้สึกท้อแท้และเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แม้จะพยายามพึ่งพิงพระเจ้าและปฏิบัติตามพระคำของพระองค์ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองประสบกับความพ่ายแพ้มาตลอด ดิฉันได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของสามีแต่ก็ไม่สำเร็จ และดูเหมือนว่าสามีก็ไม่สนใจใยดีที่จะเปลี่ยนตัวเองด้วย ดิฉันรู้สึกหมดกำลังใจและดำเนินชีวิตด้วยความขมขื่นเป็นเวลานานถึง 20 ปี
ในปี 2005 ดิฉันได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับกลุ่มสตรีคริสเตียนที่ศึกษาพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ดิฉันจึงฉวยโอกาสเข้าไปร่วมเรียนด้วยความหิวกระหายและด้วยความตั้งใจจริง ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นมากกับการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าแบบเจาะลึกซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อจะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเฉพาะเจาะจง พระวจนะของพระเจ้าได้จุดประกายในชีวิตของดิฉัน สันติสุข กำลังใจ และความชื่นชมยินดีได้เข้ามาแทนที่ในดวงใจที่ท้อแท้ พระวจนะของพระเจ้าได้ทำให้ดิฉันเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่พึ่งพิงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและไม่ใช่พึ่งพาอาศัยกำลังของตนเอง
ดิฉันได้รับการปลดปล่อยจากรากเหง้าแห่งความขมขื่นอย่างสิ้นเชิง บทเรียน “น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสตรี” ได้ชี้นำให้ดิฉันมุ่งมั่นทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุดตามการออกแบบของพระเจ้าดิฉันได้อธิษฐานฝากสามีไว้กับพระเจ้าและล้มเลิกแผนการที่จะเปลี่ยนแปลงเขาอย่างสิ้นเชิง เมื่อทำดังนั้น พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของสามีอย่างอัศจรรย์ เขาได้หันหน้าเข้าหาพระเจ้า เอาใจใส่ต่อครอบครัวและมุ่งมั่นในการศึกษาพระคำของพระองค์อย่างจริงจัง ดิฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับความสัตย์ซื่อของพระองค์
คุณศิวภรณ์ รักการ
ดิฉันมีครอบครัว และมีลูกสองคนที่กำลังเติบโตและเข้าโรงเรียน ในตลอดระยะเวลา20ปีของการสมรส สามีของดิฉันเป็นคนที่รักและสัตย์ซื่อต่อครอบครัว ดิฉันเองได้พยายามทำหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบให้ดีในฐานะแม่บ้านตลอดจนการเป็นแม่ที่ดีของลูก ทั้งดิฉันและสามีได้ยึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนาพุทธตามธรรมเนียมและตามประเพณีไทย ดิฉันคิดเสมอว่าตนเองก็ดีพอแล้วเพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ชีวิตของเราทั้งสองก็ปราศจากสันติสุขที่แท้จริง เรามีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะปัญหาในเรื่องลูก เศรษฐกิจ และหนี้สินที่รุมเร้า ดิฉันคิดว่าถ้าดิฉันทำงานหนัก และมีรายได้เพิ่มขึ้นมันอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ แต่เมื่อทำงานมากขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น ปัญหาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ดิฉันตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเองได้และมีความทุกข์ใจ
อยู่มาวันหนึ่งดิฉันได้ยินการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์โดยผ่านทางอาจารย์ชนัดดาที่เป็นผู้นำพันธกิจสตรี จากนั้นดิฉันก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มสตรีคริสเตียนเพื่อจะได้เรียนรู้ในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าผู้ประทานสันติสุขแท้ ซึ่งดิฉันเองก็มีความสนใจอยู่แล้ว หลังจากเรียนรู้เรื่องพระเจ้าไม่นาน ดิฉันก็ได้เปิดใจออกต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของดิฉันเป็นการส่วนตัว สิ่งที่ตามมาคือดิฉันได้สัมผัสกับความรักอันมหัศจรรย์ที่หลั่งไหลเข้าสู่ส่วนลึกภายในจิตใจอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มันเป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข และได้รับการยกโทษบาปจากพระเจ้า ได้รับสันติสุขแท้ มีความหวังใหม่ และมีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์
หลังจากนั้นอุปนิสัยของดิฉันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อก่อนดิฉันเป็นคนที่ใจร้อน โกรธง่าย และชอบบ่น แต่ปัจจุบันนี้ดิฉันได้ใจเย็นลงมากทีเดียว และรู้จักยกโทษให้คนอื่นๆ ดิฉันรู้จักการขอบคุณพระเจ้าในทุกๆกรณีแทนที่จะเป็นการบ่นดิฉันเริ่มเป็นภรรยาที่ให้เกียรติสามีด้วยจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเต็มใจให้เขาเป็นผู้นำในการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ดิฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระเมตตาคุณของพระองค์ที่ทรงอภัยโทษความผิดบาปและทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของดิฉัน
คุณธนัญญา โชคธีรสวัสดิ์
ในช่วงที่ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ดิฉันได้มีเพื่อนชายที่สนิทสนมคนหนึ่ง และเพื่อนคนนั้นก็กลายเป็นคนรักของดิฉันในเวลาต่อมา ดิฉันได้ต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดในปี1989 ก่อนเพื่อนชายสองปี ภายหลังจากจบการศึกษาสี่ปี เราก็ได้สมรสกัน สามีของดิฉันเป็นคนที่รักพระเจ้าและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากในการรับใช้พระองค์ควบคู่ไปกับงานสายอาชีพของเขา เขาเป็นคนที่ทุ่มเทและเสียสละในทุกด้านเพื่อเลี้ยงดูจิตวิญญาณของผู้เชื่อใหม่ให้เติบโตขึ้นเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ เขามีความมุ่งหวังจากดิฉันมากในฐานะผู้เป็นภรรยาที่จะให้การสนับสนุนเขาในทุกๆด้าน เนื่องจากเราทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน จึงเป็นเหตุให้ดิฉันขาดความเคารพยำเกรงต่อสามีในฐานะผู้นำและหัวหน้าครอบครัว เวลาใดที่ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสามี ดิฉันก็จะโต้แย้งและเถียงทันที ดิฉันขาดความเข้าใจในนิมิตการรับใช้พระเจ้าของเขาและไม่ได้ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร ดังนั้นสามีของดิฉันจึงรู้สึกเหนื่อยใจมากกับนิสัย การเถียง การดื้อดึง และการเข้าใจยากของดิฉันซึ่งเป็นอุปสรรคต่องานรับใช้ของเขา
ในปี 1998 พระเจ้าได้ทรงนำดิฉันให้เข้าเรียนพระคำของพระองค์ในกลุ่มสร้างสาวกของพันธกิจสตรีในหัวเรื่อง “น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสตรี” เริ่มจากบทเรียนนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้ดิฉันได้รู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงนำให้ดิฉันได้สมรสกับสามีคนนี้ และบทเรียนนั้นได้กลายเป็นท่อพระพรต่อครอบครัวของดิฉันเป็นอย่างมาก ท่าทีและอุปนิสัยของดิฉันได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องเมื่อดิฉันได้นำเอาหลักคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ดิฉันได้เริ่มต้นทำหน้าที่ของตนเองอย่างมีเป้าหมายร่วมกับสามีในฐานะที่เป็นคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาในทุกๆ ด้าน เริ่มจากการดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพร่างกายและจิตใจของสามี ตลอดจนให้การสนับสนุนและส่งเสริมเขาในการเตรียมคำเทศนาและการเป็นผู้นำกลุ่มแคร์ที่บ้านในทุกๆ สัปดาห์ โดยไม่อนุญาตให้ตนเองหรือบุตรชายมาเป็นอุปสรรคต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา
ดิฉันพยายามทำหน้าทีของตนเองให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการถวายเกียรติยศแด่พระเจ้าและเพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่สามี เวลาที่เรามีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน ดิฉันก็พยายามยับยั้งริมฝีปาก และบังคับจิตใจที่จะไม่โต้เถียงกับสามีโดยพึ่งพิงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้มีจิตใจที่สงบและสุภาพ นอกจากนี้ ดิฉันยังได้เรียนรู้ถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกชายอย่างมีเป้าหมายอีกด้วยเพื่อเขาจะเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้าและมีชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระองค์ ดิฉันได้ทุ่มเทเวลาในการอธิษฐานและการอ่านพระคำของพระเจ้าให้ลูกฟังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ครอบครัวของเราจะนมัสการพระเจ้าร่วมกันเป็นกิจวัตร ดิฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของดิฉัน สามีของดิฉันได้เอ่ยปากชมเชยว่าดิฉันมีคุณสมบัติของสตรีในสุภาษิต 31:10-31 และเขาเองไม่ขาดกำไรเลยที่ได้ดิฉันมาเป็นภรรยา และเขาก็ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ดิฉันแบ่งปันบทเรียน “น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสตรี” ให้แก่สตรีคนอื่นๆได้เรียนรู้ เพื่อเขาเหล่านั้นก็จะได้รับพระพรเช่นเดียวกัน